Breaking
Loading...

หินมงคล หินสีนำโชค

หินมงคล หินสีนำโชค เครื่องประดับยอดฮิตรับปี 2015


             หินนําโชค หินมงคล เครื่องประดับที่กำลังฮิตปี 2015 เพราะ หินนําโชค เป็นหินมงคล เสริมดวง โดย หินนำโชค แต่ละสีความหมายของหินสี จะแตกต่างกันในเรื่องเสริมดวง การงาน การเงิน ความรัก สุขภาพ หินสี ความหมายอะไรบ้าง คลิกเลย 

             คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อในเรื่องของโชคราง และต่างก็พากันสรรหาของมงคลต่าง ๆ มาประจำตัวเพื่อเสริมความมั่นใจและความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้น แต่ถ้าจะให้พูดถึงกระแสยอดนิยมสำหรับของเสริมมงคลในเวลานี้ คงจะหนีไม่พ้น "หินนำโชค" ที่ปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเพราะได้มีการนำหินนำโชคมาดัดแปลงเป็นไอเทมเครื่องประดับมากมายหลายแบบให้เลือกใส่ เรียกได้ว่าเป็นที่ถูกอกถูกใจทั้งคนทั่วไป ไม่เว้นแม้แต่เหล่าดาราดัง ๆ ก็นิยมนำเครื่องประดับหินนำโชคมาใส่ประจำตัวกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกำไล สร้อย ต่างหู และแหวนนอกจากจะนำโชคได้แล้วยังมีดีไซน์ที่สวยเก๋ไก๋แปลกตาอีกด้วย 

             สำหรับใครที่กำลังสนใจและมองหาเครื่องประดับหินนำโชคมาใส่เสริมดวงรับปีใหม่นี้กันอยู่ เพื่อให้เป็นทางเลือกในการตัดสินใจ วันนี้กระปุกดอทคอมจึงได้นำหินนำโชคที่กำลังเป็นที่นิยมมาให้สาว ๆ ได้ดูกันพร้อมกับเอกลักษณ์และความหมาย มาดูกันสิว่าหินนำโชคประเภทใดจะเสริมดวงชะตาในเรื่องอะไรได้บ้าง เลือกให้เหมาะสมกับตัวเองแล้วรีบหามาเป็นเจ้าของกันเลย...


 อเมทิสต์ (Amethyst) หินแห่งจิตวิญญาณที่สูงส่ง

             อเมทิสต์เป็นหินที่มีสีม่วงอ่อนไปจนถึงม่วงเข้ม เป็นหินที่มีพลังในการถ่ายทอดสูง เพิ่มความไวของการรับรู้ทางประสาทสัมผัสได้เป็นอย่างดี ช่วยให้จิตใจสงบและก่อให้เกิดสมาธิ เชื่อกันว่า Amethyst จะมีคุณสมบัติในการช่วยขจัดความเครียด รักษาโรคนอนไม่หลับ หรือช่วยปลอบใจคนที่ฝันร้ายได้


 เทอร์ควอยซ์ (Turquoise) หินแห่งพลังอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์

             เทอร์ควอยซ์เป็นหินสีเขียวไข่กาหรือสีน้ำทะเล มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หินมูลนกการเวก ที่ชาวอินเดียนแดงเผ่าต่าง ๆ ขนานนามว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งท้องฟ้า เป็นดั่งลมหายใจของชีวิตและวิญญาณ ส่วนในอียิปต์มีความเชื่อว่าหินนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งสุริยเทพ เป็นตัวแทนของพลังอำนาจและความศักดิ์สิทธิ์ มีคุณสมบัติในการบำบัดรักษาโรค


 โกเมน (Garnet) หินแห่งชัยชนะ 

             โกเมนเป็นหินที่มีหลายสีแต่ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสีแดง โกเมนมีความแตกต่างกันไปตามส่วนผสมของแร่ธาตุ อาจมีสีเขียวหรือสีเทา ในสมัยโบราณใช้โกเมนเป็นเครื่องรางแห่งชัยชนะและอำนาจ ซึ่งจะต้องเป็นหินสีแดงเท่านั้น โกเมน หรือ Garnet (กรานัตส์) เป็นคำในภาษาละติน หมายถึงเมล็ดพันธุ์ เชื่อกันว่าเป็นตัวแทนความอยู่รอดปลอดภัยของนักเดินทาง นอกจากนั้นยังเป็นหินที่ให้ความแข็งแกร่งแก่ร่างกาย ความกระตือรือร้น ตลอดจนชื่อเสียงเกียรติยศ และช่วยปรับสมดุลด้านความรู้สึกได้เป็นอย่างดี


 หยก (Jade) หินแห่งความศักดิ์สิทธิ์ 

             ชาวจีนโบราณเชื่อว่าหยกเป็นหินศักดิ์สิทธิ์ มีคุณสมบัติในการช่วยปกป้องคุ้มครอง นำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง ส่งเสริมความก้าวหน้า ช่วยให้มีอายุยืนและสุขภาพแข็งแรง ชาวจีนจึงนิยมสวมหยกติดตัวตั้งแต่เด็ก นอกจากนี้หยกยังเหมาะกับผู้ที่มีจิตใจอ่อนไหวและท้อแท้ เมื่อสวมใส่จะช่วยสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยทำให้จิตใจสงบ


 พลอยตาเสือ (Tiger's eye) หินตาที่สาม

             เป็นพลอยที่มีสีเหลืองเคลือบน้ำตาลดุจไหม บางครั้งมีลายคล้ายลายไม้ หรือมีลักษณะแวววับคล้ายกับลายของเสือ มีคุณสมบัติเหมือนกับตาเสือ หรือตาแมว สามารถมองเห็นได้ในความมืด เชื่อกันว่าพลอยตาเสือช่วยในการอ่านและคาดเดาสถานการณ์ได้ล่วงหน้า ทำให้มีความหนักแน่นในการตัดสินใจ เป็นหินที่เหมาะกับการแข่งขัน 


 ควอร์ตซ์ (Quartz) พลังแห่งชีวิตและความแข็งแกร่ง 

             มีลักษณะเป็นหินใสไม่มีสี เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หินคริสตัล ( Rock Crystal ) คำว่า Crystal เป็นคำในภาษากรีก หมายถึงน้ำแข็งที่ถูกประดิษฐ์โดยพระเจ้า เชื่อกันว่า คริสตัล เป็นฟอสซิลของน้ำบริสุทธิ์ บางชนิดมีสายแร่เส้นบาง ๆ คล้ายเข็มเย็บผ้ากระจายอยู่ภายในมีหลายสี เช่น 

          - สีทอง เรียกว่า ไหมทอง เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งร่ำรวย และเสริมอำนาจบารมีแก่ผู้เป็นเจ้าของ

          - สีเงิน เรียกว่า ไหมเงิน เป็นสัญลักษณ์ของการเรียกเงินเรียกทองให้กับผู้เป็นเจ้าของ

          - สีน้ำตาลอมแดง เรียกว่า ไหมนาค ช่วยหนุนในด้านเมตตา และเด่นในเรื่องการเยียวยารักษาสุขภาพ 

          - สีเขียว เรียกว่า ไหมเขียว ช่วยปกป้องคุ้มครองเจ้าของให้พ้นภัย ขจัดความเครียด ทำให้ใจสงบ 

          - สีดำ เรียกว่า แก้วขนเหล็ก ทำให้ผู้ครอบครองเกิดความเจริญ รอดพ้นภัยพิบัติ อีกทั้งป้องกันคุณไสย และภูตผีปีศาจต่าง ๆ


 ลาพิส ลาซูลี (Lapis Lazuli) หินแห่งเทพเจ้า

          ลาพิส รู้จักกันในนามของแซฟไฟร์ (Sapphire) เป็นหินที่มีสีน้ำเงินครามและสีน้ำเงินปนเขียว ในเนื้อหินมักจะมีสีเหลืองประอยู่คล้ายกับมีทองคำแทรกในเนื้อหิน แต่ความจริงคือแร่ไพไรต์ (Pyrite) โดยชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าหินนี้เป็นหินแห่งเทพเจ้า เป็นสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจและเกียรติอันสูงส่ง และคอยปกป้องภัยอันตรายต่าง ๆ


 ไพไรต์ (Pyrite) หรือ "เพชรหน้าทั่ง" 

          มีสีเหมือนเหล็ก ปนเงิน-ปนทอง สีเหลืองทอง มีจุดเด่นอยู่ที่รูปทรงเป็นลูกบาศก์ เชื่อกันว่าเป็นแร่ดึงดูดทรัพย์ ช่วยเรียกเงินทองมาสู่ผู้เป็นเจ้าของ ช่วยเสริมสร้างสิ่งต่าง ๆ ในด้านบวก ช่วยให้มองโลกในแง่ที่ดี ช่วยนำพาความเข้าใจตัวเองและคนอื่นมาสู่เรา การมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี ช่วยให้มีชัยต่อความขัดสน และความเอื่อยเฉื่อยของตนเอง 


 โรสควอทซ์ (Rose Quartz) 

          เป็นหินที่ได้รับการนับถือว่ามีพลังทางด้านเมตตามหานิยม ที่มีคนเชื่อถือกันมากมาแต่โบราณกาล และเสริมทางด้านความรักความใคร่ โดยคนส่วนใหญ่เชื่อว่า หินชนิดนี้มีสิริมงคลทางด้านการเจริญรุ่งเรือง เพราะเจ้านายรักใคร่ พกติดตัวไว้จะทำให้มีแต่คนรักใคร่ หวังดี เจ้านายจะสนับสนุนให้ได้ดิบได้ดีทางการงาน และจะนำความรักความสุขมาให้แก่คุณได้


 ซิทริน (Citrine) 
          
          สีเหลืองของซิทรินนี้เป็นสีเหลืองใส ผลึกของซิทรินบางแหล่งก็จะออกสีเหลืองปนน้ำตาล มีความงาม เมื่อเจียระไนแล้วคล้ายกับพลอยสีเหลืองเลยทีเดียว พลังของซิทรินเน้นหนักไปในด้านเสริมสร้างทัศนคติที่ดี และเพิ่มพลังทางสติปัญญาให้แก่ผู้เป็นเจ้าของ ช่วยให้ความคิดสร้างสรรค์ที่มีอยู่ภายในตัวเราได้แสดงออกมากขึ้น หากมีเรื่องต้องตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ต้องใช้ความคิดและการเสี่ยงเกิดขึ้น ควรกำซิทรินไว้ในมือข้างหนึ่ง จะช่วยให้การตัดสินใจนั้นถูกต้อง หรือมองเห็นทางเลือกที่ชัดเจนขึ้น



 โอปอล (Opal)

          เป็นพลอยมีสีเหลือบเหลืองสะท้อน ประกายสีรุ้ง โอปอลมีอยู่หลายสี แต่สีที่มีความใสมาก แสดงถึงหินที่มีลักษณะดี หินที่มีประกายรุ้ง เรียกว่า พรีเชียสโอปอล และโอปอลอีกชนิดที่มีค่ามาก คือ โอปอลสีเข้ม หรือ แบล็คโอปอล เป็นหินที่นำความรัก และความสุขมาให้ เป็นที่รวมพลังจากดวงจันทร์และสายน้ำ เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ความบริสุทธิ์ และไร้เดียงสา มีพลังแห่งการบำบัดสูง ทำให้ผ่อนคลาย


 กรีน ทัวร์มาลีน (Green tourmaline)

          เป็นหินสีเขียวที่มีพลังสูงสุด ช่วยสร้างความสมดุล มีประโยชน์โดยตรงต่อระบบประสาท สมอง และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย กระตุ้นความคิด สร้างสรรค์ และการสื่อสารที่ดี ทำให้สามารถตระหนักถึงพลังด้านลบและขจัดออกไปได้ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการเข้าถึงความต้องการที่แท้จริงของตนเอง และนำไปสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ


 บุษราคัม (Topaz)

          เป็นหินที่มีสีหลากหลาย ตั้งแต่ไม่มีสี สีเหลือง สีเขียว สีน้ำตาล สีที่นิยมนั้น เช่น สีชมพู สีฟ้า และสีส้ม โดยเฉพาะ บุษราคัมอิมพีเรียล ที่มีสีส้มคาดแดงนั้น มีราคาสูง เป็นหินแห่งสุขภาพความงามมาตั้งแต่สมัยโบราณ ช่วยเร่งการไหลเวียนของเลือด นอกจากนี้ยังช่วยให้หลับง่ายอีกด้วย ช่วยให้ตัดสินใจอย่างรอบคอบ และมีสมาธิ จัดเป็นอัญมณีชุดนพเก้าของไทย มีคุณสมบัติช่วยให้มองโลกในแง่ดี บรรเทาความเครียด สร้างความรื่นรมย์ให้จิตใจ วางไว้ใต้หมอนขณะหลับจะสร้างพลังให้กับร่างกาย วางไว้บนโต๊ะทำงานจะสร้างความร่ำรวย 


 ทับทิม (Ruby)

          เป็นแร่ที่มีสีแตกต่างกันไป ตั้งแต่สีแดง สีชมพู สีม่วง ตามสัดส่วนของโครเมียมและเหล็กที่ผสมอยู่ ทับทิมดาว ที่มีผลึกเส้นเข็ม ภายในซึ่งสะท้อนแสงออกมาเป็นสายนั้นเป็นที่รู้จักกันดี เป็นหินที่ใช้เป็นเครื่องราง มาตั้งแต่สมัยโบราณ เพิ่มความกล้าหาญ และความสง่างาม ให้แก่เจ้าของ และยังมีผลดีต่อสุขภาพ สร้างความมั่นคง ในด้านความสงบ และรุ่งเรือง เป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก กล้าแสดงออก ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ และบำบัดโรค

          และนี่ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหินนำโชคที่กระปุกดอทคอมได้นำมาฝาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วหินนำโชคนั้นยังมีอีกมากมายหลายชนิดให้เลือกใช้และศึกษา ซึ่งเหมาะมาก ๆ สำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่พึ่งทางจิตใจคุณเองก็ลองดูสิคะ เลือกหินนำโชคที่เหมาะกับตัวเองสักชิ้นแล้วเอาไปใช้เป็นเครื่องประดับประจำตัวนอกจากจะทำให้คุณมั่นใจขึ้นได้แล้วยังจะช่วยเสริมสิริมงคลให้คุณโชคดีตลอดปีได้อีกด้วย



Samsung Galaxy S6 edge



       
       Samsung Galaxy S6 ถือเป็นสมาร์ทโฟนแฟลกชิปรุ่นใหม่ล่าสุดที่ในครั้งนี้ซัมซุงเปิดตัวพร้อมกันสองรุ่นได้แก่ Galaxy S6 รุ่นปกติและ Galaxy S6 edge ที่มาพร้อมขอบจอโค้งมนทั้งสองด้าน โดยรุ่นที่ทีมงานไซเบอร์บิซได้รับมาทดสอบวันนี้คือ S6 edge ที่ซัมซุงตั้งความคาดหวังไว้สูงว่าจะช่วยเปิดประสบการณ์และมุมมองการใช้งานสมาร์ทโฟนด้วยรูปแบบแปลกใหม่แก่ผู้ใช้ทั่วโลก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทุกส่วนแบบปรับใหม่หมด
       
       เขียนเหมือนอวยแต่ถ้าผู้อ่านไม่มีอคติกับแบรนด์เกาหลีแบรนด์นี้และได้ทดลองใช้งานแล้ว ผมเชื่อว่าหลายคนก็คงมีความคิดไม่ต่างกันว่า “นี่คือมาร์ทโฟนแฟลกชิปที่ดีที่สุดและลงตัวที่สุดของซัมซุง” และวันนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องสเปกและประสิทธิภาพที่เปลี่ยนแปลงไปต่อจากบททดสอบส่วนของกล้องในบทความ พาทดสอบกล้องหลัง Samsung Galaxy S6/S6 edge ปรับใหม่แจ๋วกว่าเดิม ที่เขียนไปเมื่อช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา
       
       การออกแบบ
       
       

       

       
       ขอกล่าวถึงเรื่อง “ขอบจอโค้ง (Dual edge screen)” กันก่อน ในครั้งนี้ซัมซุงตั้งใจออกแบบขอบจอโค้งให้เน้นความสวยงามและโชว์นวัตกรรมด้านการออกแบบหน้าจอมากกว่า เพราะจากเดิมใน Galaxy Note edge ขอบจอสามารถใช้เป็นทั้งไม้บรรทัด แสดงแจ้งเตือนหรือเข้าแอปฯแบบเร่งด่วนได้โดยไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับหน้าโฮมสกรีน แต่ใน S6 edge จะถูกตัดความสามารถเหล่านั้นออกหมดและแทนที่ด้วยฟีเจอร์ใหม่ที่ไม่ทับไลน์กับ Galaxy Note edge (ไม่แย่งตลาดกันเพราะ Galaxy Note edge เน้นเรื่องใช้งานขีดเขียน จอใหญ่ แต่ Galaxy S จะเน้นจับกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการสมาร์ทโฟนประสิทธิภาพสูง สามารถพกพาติดตัวใช้งานได้สะดวกสบายตลอดทั้งวัน)
       
       

       
       นอกจากนั้นขอบจอที่โค้งทั้งสองด้านเมื่อประกบกับการออกแบบขอบโลหะให้มีสันมุมขึ้นมา ทำให้การจับถือกระชับมือมากขึ้น ในขณะที่ตัวเครื่องมีความหนาเพียง 7 มิลลิเมตรและน้ำหนักเพียง 132 กรัมเท่านั้น
       
       

       
       สำหรับสเปกจอแสดงผลเป็น Super AMOLED ขนาด 5.1 นิ้วความละเอียด 2,560x1,440 พิกเซล ส่วนความละเอียดพิกเซลต่อตารางนิ้วอยู่ที่ 577ppi ทั้งหมดถูกครอบทับอีกครั้งด้วยกระจก CORNING GORILLA GLASS 4
       
       ด้านกล้องถ่ายภาพด้านหน้าใช้เลนส์มุมกว้าง 95 องศา ความละเอียดภาพสูงสุด 5 ล้านพิกเซล รูรับแสง f1.9 ออกแบบใหม่ให้รับแสงในที่แสงน้อยได้ดีขึ้น ด้านล่างเป็นปุ่มโฮมแบบกดพร้อมติดตั้งเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือรุ่นใหม่แบบสัมผัสโดยไม่ต้องใช้นิ้วรูดแบบรุ่นก่อน ส่วนด้านข้างปุ่มโฮมทั้งสองด้านจะเป็นปุ่ม Recent Apps และปุ่มย้อนกลับแบบ Touch Sensor
       
       

       
       ด้านหลังถือเป็นครั้งแรกที่ซัมซุงยอมเปลี่ยนวัสดุจากพลาสติกและโลหะเป็นกระจก CORNING GORILLA GLASS 4 แบบเดียวกับส่วนหน้าจอซึ่งให้ความหรูหรามากขึ้น ด้านบนเป็นกล้องถ่ายภาพหลังความละเอียด 16 ล้านพิกเซลพร้อมรูรับแสงกว้าง f1.9 และระบบป้องกันภาพสั่นไหว OIS (Optical Image Stabilization) แบบฮาร์ดแวร์จำนวน 2 แกน ไฟแฟลช LED และเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ
       
       

       

       
       มาดูบริเวณขอบโลหะรอบตัวเครื่อง เริ่มจากด้านบนและล่างจะเป็นที่อยู่หลักของเสารับสัญญาณที่ถูกยึดติดกับขอบโลหะเพื่อช่วยขยายความแรงสัญญาณได้ดีกว่าฝังเสาซ่อนไว้ภายใน นอกจากนั้นด้านบนจะเป็นที่อยู่ของไมโครโฟนรับเสียงตัวที่สอง (ใช้สำหรับตัดเสียงรบกวน ใช้บันทึกเสียงในงานวิดีโอและอัดเสียงสัมภาษณ์) ถัดมาเป็นช่องยิงแสงอินฟาเรดและช่องใส่ซิมการ์ดโทรศัพท์แบบนาโนซิม
       
       ส่วนด้านล่างจะเป็นที่อยู่ของช่องใส่หูฟัง/Smalltalk ขนาด 3.5 มิลลิเมตร ตรงกลางเป็นช่อง MicroUSB รองรับอะแดปเตอร์ชาร์จไฟแบบเร็ว ถัดมาเป็นไมโครโฟนรับเสียงตัวแรกและสุดท้ายเป็นช่องลำโพง
       
       

       

       
       ด้านขอบโลหะด้านข้าง จากซ้ายจะเป็นปุ่มเพิ่มลดระดับเสียง ส่วนด้านขวาจะเป็นปุ่มเปิดปิดตัวเครื่อง และถ้าสังเกตจากมุมมองนี้จะเห็นความโค้งของหน้าจอทั้งสองด้านสอดรับกับเฟรมโลหะได้ค่อนข้างสวยงาม แถมเวลามองหน้าจอในมุมตรงความโค้งจะช่วยหลอกตาให้ตัวเครื่องดูไร้ขอบและเน้นให้ภาพที่ปรากฏบนหน้าจอโดดเด่นขึ้นมาก
       
       สเปกเด่น
       
       

       
       ถือเป็นครั้งแรกของสมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy ของซัมซุงที่ทำงานบนสถาปัตยกรรม 64 บิตสมบูรณ์แบบเป็นครั้งแรก เพราะหน่วยประมวลผลหรือซีพียูที่ซัมซุงเลือกใช้ใน S6 และ S6 edge เป็น Exynos 7420 (64-bit, 14nm) Octa-coreแบ่งซีพียูเป็น 2 ตัวตัวละ 4 แกนประมวลผล โดยซีพียูตัวแรกจะมีความเร็ว 2.1GHz ส่วนซีพียูตัวที่สองมีความเร็ว 1.5GHz ขับเคลื่อนด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 5.0.2 Lollipop ครอบทับด้วยยูสเซอร์อินเตอร์เฟส TouchWiz รุ่นใหม่ล่าสุด รองรับ 3G/4G LTE ทุกเครือข่ายในไทย
       
       ด้านหน่วยเก็บข้อมูลภายใน ถือเป็นครั้งแรกเช่นกันที่ซัมซุงตัดสินใจให้สมาร์ทโฟนตระกูล Galaxy ไม่สามารถเพิ่มการ์ดความจำ MicroSD ได้เหมือนก่อน เพราะซัมซุงต้องการควบคุมคุณภาพด้านการอ่านเขียนข้อมูลให้รวดเร็วเป็นมาตรฐานเดียวกัน ทำให้ Galaxy S6 และ S6 edge ที่วางขายจะมีความจุแบบตายตัวให้เลือกซื้อตั้งแต่ 32, 64 และ 128GB (ประเทศไทยจะเริ่มขายรุ่น 32GB และ 64GB ก่อน) ส่วนหน่วยเก็บข้อมูลภายในซัมซุงเลือกใช้เทคโนโลยี UFS 2.0 (Universal Flash Storage) ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปี 2014 โดยมีความเร็วในการอ่านเขียนข้อมูลอยู่ที่ประมาณ 350/150MB ต่อวินาที เมื่อเทียบกับความเร็วอ่านเขียนจาก MicroSD จะเร็วกว่าประมาณ 3-4 เท่า
       
       มาดูในเรื่องแรมก็มาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ด้วยกับ LPDDR4 ขนาด 3GB ซึ่งมีความเร็วกว่า LPDDR3 เดิมถึง 30% รวมถึงสามารถรับส่งข้อมูลปริมาณมากๆพร้อมกันได้ดีขึ้น การเคลียร์แรมทำได้รวดเร็ว ลดปัญหาแรมหมดแล้วแอปฯปิดตัวเองลง
       
       

       
       และก็ไม่ใช่แค่เพียงสเปกฮาร์ดแวร์ภายในที่ปรับเปลี่ยนไป แต่เรื่องอะแดปเตอร์ชาร์จไฟทางซัมซุงก็ได้ปรับปรุงใหม่ด้วยเช่นกัน เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่า S6 และ S6 edge มาพร้อมแบตเตอรีความจุแค่ 2,600mAh ที่หลายคนบ่นว่าไม่พอใช้งานแบบหนักหน่วง ซัมซุงก็เลยแก้ปัญหาด้วยการพัฒนาระบบชาร์จไฟแบบรวดเร็วพร้อมอะแดปเตอร์ไฟบ้านพิเศษ Adaptive Fast Charging ที่สามารถเลือกจ่ายกระแสไฟได้ 2 ระดับคือ 9V 1.67A และ 5V 2.0A
       
       

       
       โดยเมื่อใช้งานร่วมกับ S6 และ S6 edge ระบบภายในจะทำการเลือกดึงกระแสไฟอย่างอัตโนมัติ เป็นผลให้การชาร์จไฟจากสถานะแบตเตอรี 5% - 100% จะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 22 นาที ส่วนถ้าผู้ใช้รีบร้อนซัมซุงเครมไว้ว่าการชาร์จไฟเพียง 10 นาทีจะทำให้สามารถใช้งาน S6 ได้นานถึง 4 ชั่วโมง (สำหรับการใช้งานปกติ)
       
       

       
       สุดท้ายด้านสเปกอื่นๆ เริ่มจาก WiFi รองรับมาตรฐาน 802.11 a/b/g/n/ac ความเร็วสูงสุด 620Mbps บลูทูธ 4.1 Low Energy, ภายในตัวเครื่องมีเซ็นเซอร์ Barometer วัดความสูงได้, รองรับ ANT+, USB 2.0, NFC พร้อมรองรับระบบ Touch and Pay (ใช้งานได้บางประเทศ), GPS รองรับ GLONASS และ Beidou
       
       นอกจากนั้นยังรองรับระบบชาร์จไฟไร้สาย (Wireless Charging) ในตัว สามารถใช้ร่วมกับส่วนชาร์จไฟไร้สายในรถยนต์ที่ขายในประเทศไทย เช่น Toyota Camry 2015 ใหม่ Lexus ใหม่ รวมถึงอุปกรณ์แท่นชาร์จไฟไร้สายมาตรฐาน Qi ทั้งหมด
       
       User Interface/ฟีเจอร์เด่น
       
       

       
       TouchWiz UI ใหม่ใน Galaxy S6 และ S6 edge จะเน้นความเรียบง่ายและไม่ใส่แอปพลิเคชันเสริมจากโรงงานมาให้เหมือนเก่า การออกแบบหลายส่วนยึด Material Design จากแอนดรอยด์ 5.0 Lollipop เป็นส่วนใหญ่ เช่นระบบแจ้งเตือนข้อความหน้า Lock Screen การเลือกใช้โทนสี ไอคอนแอปพลิเคชันรวมถึงความเร็วเฟรมเรตในการแสดงผลที่เลือกใช้ 60 เฟรมต่อวินาทีทำให้การแสดงผลเอ็ฟเฟ็กต์ต่างๆลื่นไหลมากขึ้น การสัมผัสหน้าจอไม่มีอาการสะดุดให้เห็น
       
       

       
       ระบบแจ้งเตือนใช้การแสดงผลแบบ Card UI ส่วนปุ่มเปิดปิดค่าระบบแบบเร่งด่วนยังคงมีให้เลือกปรับแต่งได้ตามต้องการเหมือนเดิม
       
       

       
       และที่ขาดไม่ได้สำหรับ TouchWiz รุ่นใหม่ก็คือส่วนเลือกธีมที่มีให้เลือกปรับเปลี่ยนได้ตามใจพร้อมสโตร์ให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปดาวน์โหลดธีมได้เอง โดยในอนาคตซัมซุงมีแผนจะเพิ่มธีมให้มากขึ้นรวมถึงจะมีธีมขาวดำที่ช่วยเรื่องประหยัดพลังงานสำหรับหน้าจอ SuperAMOLED ให้เลือกดาวน์โหลดด้วย
       
       

       
       มาดูความสามารถของขอบจอโค้งทั้งสองด้านบน Galaxy S6 edge นอกจากความสวยงามและโชว์นวัตกรรมด้านการออกแบบแล้ว ขอบจอโค้งยังสามารถใช้งานได้ดังต่อไปนี้
       
       

       
       

       
       People edge หรือความสามารถในการปักหมุดชื่อเพื่อนหรือครอบครัวที่เราติดต่อบ่อยครั้งไว้ได้สูงสุด 5 รายชื่อพร้อมกำหนดสีในการแจ้งเตือนได้ตามต้องการ (วิธีเรียกใช้ดูจากคลิปวิดีโอด้านบน)
       
       

       
       นอกจากนั้นเมื่อหน้าจอปิดอยู่ ผู้ใช้ยังสามารถนำนิ้วมาถูบริเวณขอบจอ 4-5 ครั้งเพื่อเรียกดูเวลา สภาพอากาศและข้อมูลจากแอปฯที่รองรับขอบจอโต้งได้ (สามารถเข้าไปดาวน์โหลดเพิ่มเติมได้จากส่วน Edge Specials บน Galaxy Apps)
       
       

       
       edge Lighting เป็น Animation คลื่นแถบสีแจ้งเตือนเมื่อมีสายโทรเข้าตอนผู้ใช้คว่ำหน้าเครื่องลงบนโต๊ะในห้องประชุม โดยแถบสีจะสะท้อนกับโต๊ะให่้เราได้ทราบว่ากำลังมีสายโทรเข้ามา โดยถ้าเป็นคนใดคนหนึ่งที่เราบันทึกใส่ไว้ในส่วน People edge แถบเคลื่อนไหวจะปรากฏเป็นสีตามที่เราตั้งไว้ ส่วนถ้าเป็นเบอร์คนอื่นนอกเหนือจาก 5 คนใน People edge แถบสีเคลื่อนไหวจะเป็นสีขาว
       
       นอกจากนั้นระหว่างที่ยังไม่รับสาย ถ้าผู้ใช้ไม่สะดวกก็สามารถนำนิ้วมาแตะที่เซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจจะเป็นการตัดสายพร้อมส่งข้อความกลับไปบอกผู้ที่โทรมาว่าเรายังไม่พร้อมรับสายตอนนี้ จะโทรกลับภายหลัง
       
       และนี่คือความสามารถหลักๆของขอบจอโค้งใน Galaxy S6 edge ซึ่งจะเห็นว่าความสามารถส่วนใหญ่จะเป็นลูกเล่นเสริมมากกว่า จะมีก็ได้ไม่มีก็ใช้งานได้สมบูรณ์เช่นกัน
       
       ในส่วนฟีเจอร์อื่นๆ มีดังต่อไปนี้...
       
       

       
       

       
       สแกนลายนิ้วมือแบบใหม่ จากเดิมสแกนลายนิ้วมือเวอร์ชันซัมซุงจะต้องใช้นิ้วรูดซึ่งถือว่าไม่สะดวกเหมือนคู่แข่งอย่างแอปเปิลหรือแม้แต่ OPPO เองที่ทำได้ดีกว่า มาใน Galaxy S6 และ S6 edge ซัมซุงได้เปลี่ยนระบบสแกนลายนิ้วเป็นแบบสัมผัสแล้ว
       
       

       
       

       
       

       
       ใช้แอปฯหลายตัวพร้อมกันได้ลื่นไหลกว่าเดิม เป็นฟีเจอร์พระเอกของซัมซุงมานานและก็เป็นฟีเจอร์ที่คนกร่นด่าว่าทำให้เครื่องช้าและค้างในเวลาเดียวกัน แต่สำหรับ Galaxy S6 ฟีเจอร์นี้ถูกปรับปรุงให้ใช้งานได้ลื่นไหลขึ้นมาก การสลับหน้าแอปพลิเคชันแม้จะเปิดหลายหน้าต่างซ่อนกันไปถึงการแบ่งครึ่งหน้าจอใช้สองแอปพลิเคชันในเวลาเดียวกันและการคัดลอกภาพข้อความจากคลิปบอร์ดทำได้ลื่นไหลมาก ไม่พบอาการแรมหมดระหว่างใช้งานจนแอปฯปิดตัวเองให้เห็นแล้ว
       
       

       
       Smart Manager สุดท้ายกับแอปพลิเคชันจัดการระบบแบบอัจฉริยะที่รวมระบบจัดการแคชไฟล์ แรม แบตเตอรีและระบบรักษาความปลอดภัย Samsung KNOX ไว้ในแอปฯเดียวคล้ายแอปพลิเคชัน Clean Master
       
       นอกจากนั้นในแอปฯนี้ยังมาพร้อมระบบจัดการพลังงานที่สามารถเปิดใช้โหมด Ultra Power Saving Mode ขาวดำได้รวมถึงเวลาแบตเตอรีใกล้หมดก็สามารถเปิดใช้งานโหมดประหยัดพลังงานได้จากส่วนนี้เช่นกัน
       
       สำหรับฟีเจอร์กล้องถ่ายภาพและการทดสอบประสิทธิภาพกล้องสามารถติดตามอ่านได้จากบทความ พาทดสอบกล้องหลัง Samsung Galaxy S6/S6 edge ปรับใหม่แจ๋วกว่าเดิม
       
       ทดสอบประสิทธิภาพ
       
       

       
       เป็นครั้งแรกที่ทีมงานได้ทดสอบแอนดรอยด์ที่ทำงานแบบ 64 บิตเต็มประสิทธิภาพ เพราะปกติเรามักได้รับสมาร์ทโฟนที่ใช้ซีพียู 64 บิตแต่ระบบปฏิบัติการเป็น 32 บิตทำให้การทดสอบไม่สามารถทำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอย่างที่ควรเป็น เพราะฉะนั้นการทดสอบในครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คะแนนทดสอบของ Galaxy S6 edge (รวมถึง S6 ปกติ) บนแอนดรอยด์ 5.0 Lollipop จะได้คะแนนทดสอบที่สูงมากเมื่อเทียบกับไฮเอนด์หลายๆแบรนด์ แม้ทีมงานจะลองทดสอบบนโหมด 32 บิตแล้วก็ตาม
       
       

       
       ยังไม่นับคะแนนการทดสอบอื่นๆที่ถือว่าทำได้น่าพอใจไม่ขัดแย้งกับการใช้งานจริงตลอด 2 อาทิตย์แต่อย่างใด ไม่ว่าจะด้วยอานิสงส์ของหน้าจอเฟรมเรต 60 เฟรมต่อวินาทีไปถึงซีพียูและระบบปฏิบัติการที่พร้อมใจทำงานสอดประสานกันได้ดีมากจนทีมงานรู้สึกว่า Galaxy S6 edge น่าจะเป็นสมาร์ทโฟนในกลุ่มแอนดรอยด์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดแล้วในตอนนี้
       
       โดยเฉพาะเรื่องแรมเป็นสิ่งที่ประทับใจมาก เพราะตลอดการทดสอบร่วม 2 อาทิตย์ ส่วนใหญ่เปิดเครื่องเช็คแรมจะเหลือให้ใช้งานอยู่แค่ประมาณ 400-700MB สร้างความสงสัยและทำให้ทีมงานต้องทดสอบเปิดแอปฯจำนวนมากสลับใช้งานไปมา พยายามจะทำให้เครื่องอืดและค้างแต่สุดท้ายก็ไม่พบเจออาการดังกล่าวเกิดขึ้นแต่อย่างใด ไม่น่าเชื่อว่าซัมซุงจะทำได้
       
       

       
ทดสอบเล่นเกม Modern Combat 5: Blackout

       
       

       
ทดสอบเล่นเกม Dungeon Hunter 5

       
       ถ้าอนาคตแอปพลิเคชันใน Play Store รองรับการประมวลผลแบบ 64 บิตอย่างเต็มที่ ทีมงานคาดว่า Galaxy S6 และ S6 edge น่าจะแสดงศักยภาพออกมาได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะเกม 3 มิติที่น่าจะเปิดประสบการณ์ภาพกราฟิกที่สวยงามมากขึ้น แต่โดยภาพรวมก็ถือว่า Galaxy S6 และ S6 edge เป็นไฮเอนด์สมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพทั้งเรื่องกล้อง หน่วยประมวลผลและฟีเจอร์ที่ดีอันดับต้นๆของตลาดแล้ว
       
       

       
       สำหรับสิ่งที่หลายคนรอคอยกับการทดสอบแบตเตอรี 2,600mAh ลองดูจากกราฟคะแนนที่ทดสอบโดย Geekbench จะเห็นว่าเวลาที่ทำได้อยู่ที่ 7 ชั่วโมง 47 นาที 40 วินาทีเครื่องถึงแบตฯหมดดับตัวเองลง และเมื่อคำนวณหาเวลาสำหรับใช้งานทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 13-14 ชั่วโมง จัดว่าอยู่ระดับกลางๆ ส่วนการใช้งานจริงทีมงานพบว่าช่วงระหว่าง 100-80% ถ้าใช้งานตลอดเวลา เช่น เล่นเกมหรือแชทไลน์ต่อเนื่อง แบตเตอรีจะลดลงเร็วพอสมควร แต่พอสถานะแบตเตอรีเริ่มต่ำกว่า 75 ไปถึง 60% ลงไปเปอร์เซ็นต์แบตเตอรีจะเริ่มลดช้าลงเรื่อยๆ ซึ่งทีมงานคาดว่าน่าจะเป็นผลมาจากระบบจัดการพลังงานภายในที่ช่วยไว้ส่วนหนึ่ง ทำให้คะแนนภาพรวมเรื่องแบตเตอรีพุ่งนำโด่ง 4,676 คะแนนเลยทีเดียว
       
       ฟันธง! ความคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป?
       
       

       
       ข้อดี
       
       - เป็นสมาร์ทโฟนซัมซุงที่ใช้งานได้ลื่นไหลที่สุด ไม่เจออาการเครื่องหน่วงและค้างให้พบเจอตลอดการทดสอบสองอาทิตย์
       - กระจกทั้งสองด้านแข็งแรง เป็นรอยยากขึ้น
       - กล้องหลังคมชัด ถ่ายในที่แสงน้อยได้ดี โฟกัสและชัตเตอร์เร็วมาก
       - UFS 2.0 ช่วยจบปัญหาแอปฯทำงานช้าจากมาตรฐานการ์ดความจำ MicroSD มีหลากหลายระดับ ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ดีและตรงจุดมาก แม้จะเกิดเสียงบ่นตามมาจากผู้ใช้ก็ตาม
       
       ข้อสังเกต
       
       - ปัญหา Tracking AF โฟกัสช้ามีให้พบเจอบ้าง โดยเฉพาะการโฟกัสวัตถุที่เปลี่ยนระยะไปมาเร็วมากๆ
       - หลังเครื่องร้อนเวลาใช้งานหนัก
       - กล้องหลังนูนออกมามาก ถ้าไม่ใส่เคสต้องระมัดระวังเลนส์กล้องเป็นรอยจากการพกพาใช้ในชีวิตประจำวัน
       - ขอบจอโค้งเป็นแค่ส่วนเสริมให้ตัวเครื่องสวยงามเท่านั้น ฟีเจอร์ใช้งานจริงเช่น People edge หรือ edge lighting notification มีก็ได้ไม่มีก็ไม่ทำให้การใช้งานติดขัด
       
       สำหรับราคาค่าตัว Samsung Galaxy S6 และ S6 edge ล็อตแรกจะมีความจุ 32GB ให้เลือกแค่ความจุเดียว ราคาอยู่ที่ 23,900 บาท สำหรับ S6 รุ่นปกติ และ 27,900 บาทสำหรับ S6 edge ขอบจอโค้ง ส่วนในอนาคตอาจได้เห็น S6 edge ความจุ 64GB เข้ามาขายในราคา 30,900 บาท ด้านสีตัวเครื่องจะมีให้เลือกสามสีได้แก่ สีดำ (เมื่อสะท้อนแสงจะออกน้ำเงินเข็ม) สีทองและสีขาว
       
       ถือเป็นแฟลกชิปตัวแรกของซัมซุงตระกูล Galaxy ที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดและถือเป็นซัมซุงยุคใหม่ที่สามารถล้มภาพลักษณ์ข้อด้อยเก่าๆออกได้ทั้งหมด โดยเฉพาะ S6 edge ที่สร้างนวัตกรรมด้านการออกแบบหน้าจอผสานแฟชั่นได้ลงตัวมาก แม้เอาเข้าจริงๆแล้วส่วนขอบจอโค้งจะไม่ได้มีลูกเล่นด้านการใช้งานที่ดึงดูดและโดดเด่นมากนัก แต่เรื่องการออกแบบ s6 edge ถือว่าครั้งนี้ซัมซุงทำได้สุดและดึงความเจ๋งของตัวเองออกมาได้ยอดเยี่ยมมาก
       
       อยากให้ทุกคนลืมภาพสมาร์ทโฟซัมซุง Galaxy รุ่นก่อนหน้าและไปสัมผัสความเป็น Next Level ทั้งเรื่องกล้องถ่ายภาพและประสิทธิภาพของ S6 และ S6 edge เชื่อว่าทุกคนน่าจะหลงรักได้ไม่ยาก
       
       ส่วนจะเลือก S6 ปกติหรือ S6 edge ที่มาพร้อมขอบจอโค้งทั้งสองด้าน ส่วนนี้ต้องลองตัดสินใจเอง เพราะส่วนใหญ่สเปกไม่ต่างกันมากนัก อยากหรูเงินถึงไป S6 edge ไม่ได้สนใจแฟชันแค่อยากได้ประสิทธิภาพแบบใหม่หมดก็เลือก S6 ปกติก็ได้ ประหยัดเงินไปตั้ง 4,000 บาทที่มา:http://manager.co.th/CbizReview/ViewNews.aspx?NewsID=9580000046196
       

 
Copyright © 2013. Odd Themes - All Rights Reserved