ปิดตลาดไปเมื่อปี 2550 ทำยอดขายได้แล้วทั้งสิ้น 343,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 10 ล้านล้านบาท!!!.... 7 ปีผ่านไป...ไอโฟนก็ยังไม่สิ้นมนต์ขลัง เพราะไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นสาวก จะซื้อหรือไม่ แต่เชื่อว่าทุกคนอยากเห็น อยากเข้าใจ อยากรู้จักน้องใหม่ “ไอโฟน 6” กันทั้งนั้น
เป็นที่สนใจในทุกครั้งที่แอปเปิล เปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆออกสู่สายตาสาธารณชน เช่นเดียวกับครั้งนี้ ไฮไลต์สำคัญนอกจากจะอยู่ที่ไอโฟน 6 ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 รุ่น ใช้ชื่อว่า 6 และ 6 Plus แล้ว แอปเปิลยังได้เปิดตัวนาฬิกาอัจฉริยะหรือแอปเปิลวอตช์ (Apple Watch) ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในรอบ 4 ปี แม้จะไล่ตามบรรดาค่ายคู่แข่งอยู่หลายขุม รวมทั้งบริการแอปเปิล เพย์ (Apple Pay) ที่ท้าทายให้ผู้บริโภคโยนบัตรเครดิตทิ้ง แล้วหันมาใช้จ่ายผ่านแอปเปิล เพย์กันดีกว่า
และเนื่องจากแอปเปิลวอตช์ มีกำหนดวางจำหน่ายเลยไปถึงปีหน้า ขณะที่ ไอโฟน 6 จะวางขายภายในเดือนนี้... นอกจากจอใหญ่ขึ้น กล้องชัดขึ้น และบริการแอปเปิล เพย์ ไอโฟน 6 มีอะไรน่าสนใจบ้าง เชิญติดตาม
1. ไอโฟน 6 มี 2 รุ่น คือ 6 และ 6 Plus ไอโฟน 6 มีขนาดหน้าจอ 4.7 นิ้ว ส่วน 6 Plus มีขนาด 5.5 นิ้ว และหนากว่านิดหน่อยที่ 7.1 มิลลิเมตร มีความละเอียด 1920×1080 พิกเซล ขณะที่ ไอโฟน 6 หนา 6.9 มิลลิเมตร ความละเอียดหน้าจอที่ 1334×750 พิกเซล ซึ่งเป็นสเปกเดียวกับไอโฟน 5 แต่จอกว้างกว่า
2. แอปเปิล เพย์ ระบบการจ่ายเงินบนไอโฟน 6 พุ่งเป้าบี้บัตรเครดิตเป็นการเฉพาะ บริการแอปเปิล เพย์ ทำงานผ่านระบบ NFC (Near Field Communication) ซึ่ง เป็นระบบสื่อสารด้วยคลื่นวิทยุระยะใกล้ อันทำให้เมื่อนำไอโฟน 6 ไปสัมผัส กับเครื่องรับชำระเงินผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมโครงการ ผู้ใช้ก็จะชำระเงินผ่านไอโฟนได้ทันที โดยจะเริ่มให้บริการในสหรัฐอเมริกาในวันที่ 24 ต.ค.เป็นต้นไป
3. กล้องดีที่สุดในมือถือตระกูลไอโฟนทั้งหมด แม้ความละเอียดของกล้องจะอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล เท่ากับไอโฟน 5 ผิดกับความคาดเดาที่ว่ากล้องของไอโฟน 6 น่าจะมีความละเอียดได้ถึง 13 ล้านพิกเซล แต่แอปเปิลคุยว่าฟีเจอร์ใหม่ๆ ของกล้อง i-Sight ไม่ธรรมดา เช่น Focus Pixels ที่ช่วยให้โฟกัสภาพได้เร็วขึ้น-ดีขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และยังถ่ายรูปเซลฟี่ได้ถึงวินาทีละ 10 ภาพ
4. แบตเตอรี่ที่ยาวนานกว่า โดยไอโฟน 6 ฟังเพลงได้ 50 ชั่วโมง แต่ 6 plus ฟังได้ถึง 80 ชั่วโมง ดูวีดิโอ 14 ชั่วโมง ใช้งานดาต้าบน 4 จีสูงสุด 12 ชั่วโมง คุยโทรศัพท์ได้ยาว 24 ชั่วโมง และสแตนด์บายรอรับสาย 16 วัน
5. เป็นอุปกรณ์เพื่อสุขภาพ ที่ช่วยเก็บข้อมูลระหว่างการออกกำลังกาย ช่วยให้ออกกำลังกายได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และข้อมูลสุขภาพทั้งหมด จะถูกนำไปเก็บไว้ใน Health App
6. ไอโฟน 6 มีไว-ไฟที่ไวขึ้นถึง 3 เท่าเพราะเป็นไว-ไฟมาตรฐานแบบ 802.11ac ส่วน 4 จี LTE ทำความเร็วได้สูงสุด 150 Mbps และรองรับ LTE ได้ถึง 20 ย่านความถี่
7. ปรับหน้าจอแนวนอน-แนวตั้งได้สะดวกขึ้น สำหรับข้อมูลที่ต้องการพื้นที่แสดงผลมากกว่าปกติ เช่น ปฏิทิน เมล ข้อมูลพยากรณ์อากาศ เหมือนอย่างที่ทำได้ในไอแพด ด้วย Landscape View
8. ฟังก์ชันใช้งานได้ด้วยมือเดียว แค่กดแป้นโฮม 2 ครั้ง หน้าจอก็จะเลื่อนลงมาให้ สะดวกสำหรับคนมือเล็ก นิ้วโป้งสั้น ใช้งานได้ง่ายขึ้นด้วยมือเดียว ถ้าจะกลับไปหน้าจอเดิม ก็แค่กดปุ่มโฮมซ้ำ 2 ครั้ง
9. ไอโฟน 6 ไม่มีรุ่นขนาด 32 GB ยอดนิยม แต่มีรุ่นเลือก 3 ขนาด ได้แก่ 16 GB, 64 GB และ 128 GB และข่าวดีก็คือราคา 64 GB จะเท่ากับ 32 GB เป็นการคืนกำไรให้ลูกค้า โดยราคาไอโฟน 6 และ 6 Plus ติดสัญญากับผู้ให้บริการมือถือในสหรัฐฯ 2 ปี เริ่มต้นที่เครื่องละ 199 เหรียญ และ 299 เหรียญ ตามลำดับ ส่วนราคาในไทยอย่างไม่เป็นทางการ น่าจะเริ่มต้นที่ 23,900-31,900 บาท
10. ไอโฟน 6 จะเปิดขายรอบแรกในวันที่ 19 ก.ย. นี้ (พรีออเดอร์ 12 ก.ย.) ใน 9 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรเลีย ฮ่องกง สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ส่วนในไทย ยังไม่มีกำหนดแต่เชื่อว่าจะไม่เกินเดือน ต.ค.
โดย ไทยรัฐ ไซเบอร์เน็ต 14 ก.ย. 2557 05:01
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น